นางสาวกิมจิกับแก๊งกะปิน้ำปลา
เมื่อซอโบอาไกด์สาวสวยเกาหลีกับเพื่อนกะเทยไทยต้องพาทีมงานทีวีตัวแสบจากเมืองไทย และโปรดิวเซอร์รูปหล่อ ไปถ่ายรายการทั่วเกาหลี โดยไม่รู้ว่ามีแผนการร้ายซ่อนอยู่ แถมโปรดิวเซอร์สุดหล่อยังคิดว่าเธอเป็นกะเทย
ผู้เข้าชมรวม
886
ผู้เข้าชมเดือนนี้
10
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
1นางสาวกิมจิ
กรุงเทพฯ เมษายน 17.55 น.
ภายในห้องผู้ป่วยพิเศษของโรงพยาบาล ชายชราในวัยเจ็ดสิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังนอนรอนาทีสุดท้ายของชีวิตด้วยแววตาเงียบเหงาว้าเหว่อย่างสุดประมาณ แม้จะมีสมบัตินับหมื่นล้าน มีผู้คนให้ความเคารพนับถือในคุณงามความดีที่สร้างไว้มากมาย แต่หลายสิบปีมาแล้วที่แววตาเช่นนี้ของท่านประธานฯสมชายเจ้าของกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่บัวกรุ๊ปไม่เคยลบเลือนแปรเปลี่ยนไปเลย
ที่ระเบียงด้านนอกห้องมีบรรดาญาติๆและผู้บริหารคนสนิทสิบกว่าคนกำลังยืนรอเข้าเยี่ยมและหวังจะทราบอาการป่วยของท่านประธานฯอยู่ด้วยสีหน้าวิตกกังวล คุณนายเจี๊ยบหลานสาววัยสี่สิบกว่าแต่ยังสวยพริ้งของท่านสมชายกำลังสอบถามอาการป่วยลุงของเธอกับคุณหมอรงค์รองผอ.โรงพยาบาลและเป็นแพทย์เจ้าของไข้
“พี่รงค์คะ อาการคุณลุงไม่ดีขึ้นเลยเหรอคะ”
“เจี๊ยบ.. พวกเราในโรงพยาบาลทุกคนพยายามกันเต็มที่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าคุณลุงท่านจะ..หมดกำลังใจไปแล้ว บางที..”คุณหมอรงค์พูดเสียงอึกอัก แววตาครุ่นคิด
“ไอ้หมอ..! พวกเราที่นี่ก็คนกันเองทั้งนั้น แกช่วยบอกหน่อยได้มั๊ยว่าพวกเราพอจะมีเวลาเตรียมตัวเตรียมใจกันอีกซักกี่วัน”เป็นเสียงคำถามแบบขวานผ่าซากมาจากคุณนิพนธ์ญาติห่างๆที่เป็นผู้บริหารคนหนึ่งในกลุ่มบริษัทบัวกรุ๊ป
“พี่นิพนธ์! ทำไมพี่พูดแบบนั้นล่ะคะ”คุณนายเจี๊ยบหันมามองหน้า ไม่พอใจ
“พี่ขอโทษถ้าเจี๊ยบจะโกรธ แต่ถ้าคุณลุงเกิดเป็นอะไรไปโดยไม่ได้เตรียมการเรื่องหุ้นเรื่องมรดกเรื่องพินัยกรรมไว้ก่อนละก็ คิดดูซิบริษัทในเครือตั้งยี่สิบกว่าบริษัท มูลค่าหุ้นตั้งเป็นหมื่นเป็นแสนล้านมันจะวุ่นวายขนาดไหน”
ทุกคนพากันนิ่งเงียบเป็นเชิงเห็นพ้องเมื่อคิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวที่อาจถูกกระทบ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของแววตาอันว้าเหว่ว่างเปล่าของท่านประธานฯสมชายด้วยก็เป็นได้
“ถ้าไม่มีปาฏิหาริย์ ผมว่า อาจจะไม่เกิน..สี่ห้าวัน...”คุณหมอรงค์เอ่ยขึ้น เสียงไม่สบายใจนัก
มีเสียงอุทานเบาๆจากบางคนก่อนความเงียบจะเข้าเคลือบคลุม สีหน้าของแต่ละคนต่างดูเหมือนกำลังครุ่นคิดกังวลถึงผลจากการตายของท่านประธานฯสมชายที่จะเกิดขึ้นกับเฉพาะตน บางคนที่คิดว่าจะได้ผลประโยชน์มากก็เผลอผุดยิ้มออกมาอย่างลืมตัวบนใบหน้าที่ยังคงมีหน้ากากแห่งความเศร้าสวมทับอยู่
ตอนนั้นเอง จู่ๆก็มีชายหนุ่มหน้าตาทะเล้นยียวนคนหนึ่งเดินถือซองเอกสารแหวกเข้ามากลางกลุ่มอย่างไม่เกรงใจเหล่าไฮโซฯอาวุโสทั้งหลายเลยแม้แต่น้อย แถมยังปากปีจอมาแต่ไกล
“ขอทางหน่อยครับ คุณลุงคุณป้า..มานัดชุมนุมซ้อมรำมวยไทเก๊กกันแถวนี้รึไงครับ ไม่รู้เหรอครับว่าที่นี่มันโรงพยาบาล..”
หลายคนมีสีหน้าไม่พอใจ แต่ก่อนจะขยับปากด่าแบบไทเก๊กรวมพลังหยินหยางชายหนุ่มคนนั้นก็เดินมาถึงที่หน้าประตูแล้ว
“คุณหมอรงค์ใช่มั้ยครับ ผมนักสืบเอกชน ตั๊ก สืบอุตลุด! เจ้านาย..สั่งให้ผมมาพบเรื่องด่วนเลยครับ”
“อ๋อ ครับ ท่านสั่งผมไว้เหมือนกัน”หมอรงค์พูดพร้อมกับรีบเปิดประตูห้องพานักสืบตั๊กเข้าไปทันที คนอื่นๆขยับจะตามเข้าไปบ้าง แต่นักสืบตั๊กชะโงกหน้าทะเล้นออกมาแล้วพูดขึ้นก่อนจะปิดประตูว่า
“ขอโทษ! เป็นความลับครับ ใครแอบฟังขอให้เป็นริดสีดวงทวาร...ถ้าเป็นอยู่แล้วก็ขอให้อักเสบ”
หลายคนแอบสะดุ้ง เผลอคลำก้นตัวเอง..
หมอรงค์พานักสืบตั๊กมานั่งที่ข้างๆเตียงของท่านสมชายที่ร่างกายระโยงระยางไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตสารพัดเท่าที่เงินจะหาซื้อได้
“ค่อยๆพูดนะครับคุณตั๊ก อย่าทำให้ท่านเหนื่อยหรือตกใจเป็นอันขาด”หมอรงค์พูดย้ำก่อนจะถอยไปนั่งตรงโซฟาที่มุมห้อง คอยสังเกตอาการ
“สวัสดีครับเจ้านาย ผมตั๊กครับ ที่ท่านสั่งให้ไปสืบเรื่อง....”
นักสืบตั๊กหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาจากในซอง แล้วใช้สองมือจับภาพไว้ตั้งขึ้นชูให้ท่านสมชายเห็น ภาพนั้นเป็นภาพถ่ายเอกสารจากต้นฉบับภาพสเก็ตดินสอ เป็นรูปของชายหนุ่มหน้าตาค่อนข้างดีคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบที่ดูคล้ายชุดทหารในยุคหลายสิบปีก่อน
“เมื่อสามวันก่อน มีผู้หญิงเกาหลีคนหนึ่งเอาภาพนี้มาสอบถามคนแถวๆบ้านเดิมของท่านที่อยุธยา บอกว่าต้องการหาญาติที่ชื่อ...สมพร..เป็นอะไรกับเจ้านายรึเปล่าครับ”
ท่านสมชายค่อยๆหันหน้ามามอง และในทันทีที่เห็นภาพวาดนั้น ดวงตาของท่านพลันเบิกโพลง แววตาพลุ่งพล่าน เต็มไปด้วยความหวังอีกครั้ง
“ตอนนี้เธอกลับเกาหลีไปแล้ว แต่ผมสืบจากที่อยู่ที่เธอทิ้งไว้แล้ว เธอชื่อโบอาครับ ซอโบอา!”
โดยไม่คาดคิด ท่านสมชายถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากปากเพื่อที่จะได้มีโอกาสพูด..
“พาเธอมาพบชั้น ก่อนชั้นจะตาย ต้องพามาให้ได้!”
เสียงสัญญาณเตือนจากเครื่องช่วยชีวิตดังขึ้น หมอรงค์ผลุดลุกขึ้นจากโซฟาอย่างร้อนรน พยายามจะใส่หน้ากากออกซิเจนให้ท่านสมชายอีกครั้ง แต่ท่านไม่ยอม ประตูห้องถูกเปิดออก บรรดาญาติๆของท่านสมชายที่รออยู่นอกห้องต่างกรูกันเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ
“ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถครับท่าน”นักสืบตั๊กระล่ำระลักรับคำสั่ง
“พาเธอมา...แล้วชั้นจะให้นาย...ร้อยล้าน!”
เป็นคำพูดสุดท้ายของท่านสมชายก่อนที่บรรดาหมอกับพยาบาลจะจับท่านใส่หน้ากากออกซิเจนและทำทุกอย่างเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ขณะที่ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำให้ทุกคนหันไปมองนักสืบตั๊กเป็นตาเดียวกัน เหมือนกับอยากจะถามว่า ใครกันที่มีค่าถึงร้อยล้านเพียงแค่พามาพบท่านสมชายเท่านั้น แต่ดูเหมือนคนที่ถูกจ้องมองอยู่เองก็กำลังงุนงงสงสัยสุดขีดเช่นเดียวกัน
“ผมจะพาเธอมาพบท่านให้ได้ครับ เจ้านาย!”
นักสืบตั๊กพูดขึ้นหลังจากหายงุนงงในอีกหลายนาทีต่อมา ภายหลังจากที่เสียงในสมองที่มีแต่คำว่าร้อยล้านๆๆดังก้องสะท้อนซ้ำไปซ้ำมาเหมือนกำลังฟังเพลงแร็พกวนประสาทค่อยๆแผ่วเบาลง เป็นเวลาที่แพทย์และพยาบาลได้ช่วยแก้ไขให้ท่านสมชายพ้นจากอาการหัวใจวายเฉียบพลันได้สำเร็จแล้วเช่นกัน
แต่เมื่อนักสืบตั๊กมองหาไปรอบตัว เขาก็พบว่าภาพวาดและซองเอกสารที่มีข้อมูลของซอโบอาหญิงสาวที่เขาจะต้องตามหาเพื่อเงินร้อยล้านได้อันตรธานหายไปเสียแล้วอย่างลึกลับไร้ร่องรอย...
สองวันต่อมา.. กรุงโซล เกาหลีใต้ 6.00 น.
แสงแรกแห่งรุ่งอรุณส่องลอดช่องม่านหน้าต่างเข้ามาภายในห้องนอน กระทบกับผิวขาวผ่องของหญิงสาวที่นอนหลับคุดคู้เพราะความหนาวเย็นของยามเช้าอยู่บนเตียง วงหน้าหวาน สวยใสชวนมองเหมือนดาราเกาหลี แต่เมื่อเพ่งพินิจดูให้ชัดขึ้น จะแลเห็นได้ว่าเธอสวยคมเข้มบาดตากว่าสาวสวยเกาหลีทั่วๆไป
เสียงนาฬิกาปลุกจากตุ๊กตารูปไก่ที่ข้างเตียงดังขึ้นเป็นคำทักทายภาษาเกาหลี
“อันนิยองฮาเซโย ๆ ๆ (สวัสดีๆๆ)“
หญิงสาวพลิกตัวงัวเงียเอื้อมมือไปปิดทั้งที่ยังหลับตา แต่ก็สะดุดเข้ากับร่างๆหนึ่งที่นอนขวางอยู่ทำให้เธอต้องลืมตาขึ้นดู เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างๆนั้นก็หันมามองเธอเช่นกัน
..แต่สิ่งที่หญิงสาวเห็นในแสงสลัวยามเช้านั้นคือร่างของผู้ชายคนหนึ่ง ใบหน้าขาวซีดราวกระดาษ ขณะที่รอบของตาเป็นรอยเขียวคล้ำบวมแต่นัยน์ตาแดงกล่ำน่ากลัวราวกับซากศพ!
“อุ๊บ...โดรากาซีดา(ศพคนตาย)!”
หญิงสาวอุทานอย่างตกใจพร้อมกับสัญชาตญาณป้องกันตัว เธอยกเท้าขึ้นถีบร่างนั้นอย่างแรงด้วยท่าเทกวนโดจนร่างนั้นกระเด็นตกจากเตียงลงมาเสียงดัง ตุ๊บ..แอ๊ก! พร้อมกับเสียงร้องโอดโอยดังขึ้น
“โอ๊ย! อีนังบัว! อีเกาหลีบ้า นี่แกถีบชั้นทำไมยะ”
เสียงนั้นพูดขึ้นเสียงสูงเป็นภาษาไทยด้วยความโกรธทำให้หญิงสาวที่อยู่บนเตียงนึกขึ้นได้ ค่อยๆชะโงกหน้าลงมาดูที่พื้นข้างเตียง
“นังแต๊บ...แกเองเหรอ”เสียงอ่อยๆแกมนึกผิด
“ก็ชั้นนะสิ ถ้าไม่ใช่ชั้นแล้วแกนึกว่าเป็นใครยะ นังบัว”
ชายหนุ่มหุ่นผอมบางที่ถูกเรียกว่านังแต๊บลุกขึ้นยืนกรีดนิ้วชี้หน้า ส่วนมืออีกข้างยังคลำสะโพกที่ตกลงมากระแทกกับพื้นห้องจนเคล็ด
“ก็...เดี๋ยวก่อน...ชั้นชื่อโบอา ภาษาเกาหลีแปลว่าเพชร.. ดังนั้นชื่อไทยของชั้นคือเพชรา! ไม่ใช่ดอกบัว บอกกี่ครั้งแล้ว หัดจำซะบ้าง”หญิงสาวเห็นท่าไม่ดี เลยพาลหักมุมเลี้ยวเปลี่ยนเรื่อง
“ย่ะ แม่เพ็ดดีกรีเอ๊ย แม่เพชรา..(ทำเสียงตอแหลมาก) แล้วชั้นก็บอกหล่อนกี่ครั้งแล้วเหมือนกันว่าชั้นชื่อว่าแต๊กหรือว่าน้องต๊อกแต๊ก ไม่ใช่แต๊บที่หมายถึงการเหน็บหรือหนีบอวัยวะบางอย่างไว้ไม่ให้ปรากฏสู่สายตา ดังนั้นถ้าแกอยากให้ชั้นเรียกชื่อแกให้ถูกแกก็ต้องเรียกชื่อชั้นให้ถูกก่อนด้วย เข้าใจมั๊ยยะ”
“เข้าใจย่ะ แต่ไม่ทำ เดี๋ยวจะหาว่ากลัว”โบอาแกล้งทำเสียงตอแหลพอกัน ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีหน้าดุ
“ว่าแต่แกน่ะ....เข้ามานอนในห้องชั้นได้ยังไง แล้วทำไมต้องโบ๊ะหน้ายังกับศพแบบนี้ด้วย...กัมจากียา! (ตกใจหมดเลย!)”
“จะบ้าเหรอ ที่ใช้พอกหน้าเนี่ยเป็นครีมรกแกะจากออสเตรเลียเชียวนะยะ พี่เบิร์ดยังใช้เลย”แต๊กจีบปากจีบคอเถียง
“ครีมรกแกะ แต่คนพอก.. รกโลก”
“นังคนอกตัญญู เรื่องเมื่อคืน...แกจำไม่ได้รึไงว่าที่ชั้นต้องตาเขียวหน้าช้ำจนต้องโบ๊ะหน้ารักษาโฉมแบบเนี๊ย ก็เพราะแกนี่แหละตัวต้นเหตุ”
โบอาทำหน้าปวดหัวแบบคนเมาค้าง เอามือเคาะหัวตัวเองเบาๆ ยิ้มเขินๆ ผู้ชายดูแล้วคงรู้สึกว่าน่ารักแต่กะเทยอย่างแต๊กเห็นแล้วยิ่งหมั่นไส้มากขึ้น
“อือ..ออเจ็ดปาเม ซูลึล นอมู มานี มาซิยอซอโย(เมื่อคืน สงสัยคงจะดื่มเหล้ามากไปหน่อย)”
เพราะปรับโหมดสมองไม่ทัน โบอาเลยเผลอรำพึงออกมาเป็นภาษาเกาหลี
“เริ่มจำได้แล้วเหรอยะว่าเมื่อคืนนี้พวกเราสี่คน มีชั้น แก นังแพรรี่แล้วก็นังเบลล์ไปนั่งกินโซจู(เหล้าเกาหลี) ในโปจังมาชาแถวๆบังแบดงด้วยกัน...”
โปจังมาชาหมายถึงร้านรถเข็นหรือเพิงร้านชั่วคราวที่ใช้ผ้ายางหรือผ้าพลาสติกกั้นแล้วมุงหลังคาเป็นเต็นท์หลังเล็กๆเรียงรายอยู่ตามถนน มีคอเหล้ามานั่งดื่มสังสรรค์หลังเลิกงานกัน อย่างที่เห็นกันบ่อยๆในละครทีวีเกาหลี ส่วนย่านบังแบดงนั้นอยู่เลยสะพานข้ามแม่น้ำฮานไปทางคังนัม มีร้านเหล้าร้านเล็กร้านน้อยเรียงรายอยู่มากมาย
โบอาพยามยามนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ภาพค่อยๆแฟลชแบ็คย้อนกลับเข้ามาประกอบคำบรรยายของแต๊ก
“...ระหว่างที่เรานั่งกินเหล้ากันอยู่ พวกแก๊งกะเทยตอแหลบริษัทอินจองทัวร์ที่ชอบใส่ร้ายชอบแย่งลูกค้าบริษัทเราเข้ามานั่งที่โต๊ะข้างๆสี่คน ...แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มแซวกัน เพิ่มดีกรีเป็นด่าแล้วก็ขว้างของใส่กัน สุดท้ายแกนั่นแหละที่เดินเข้าไปต่อยนังเอ๊กกี้ปากปลาร้าจนหน้าคว่ำสลบคาจานหอยโฮงฮับ...สะใจนะ แต่ก็น่าเสียดายหอยจานนั้นจริงๆ”
ในหัวของโบอาเริ่มปรากฏภาพสโลโมชั่นของสองแก๊งที่เป็นกะเทยไทยสองฝ่ายเจ็ดคน กับสาวเกาหลีตัวจุดชนวนอีกหนึ่งไล่ตบตีหยิกข่วนกันวี้ดว้ายท่ามกลางสายตาเกาหลีเมามุงที่ยืนเชียร์กันอย่างสนุกสนาน โบอาเอามือกุมหน้าผากตัวเองเมื่อคิดว่าทำแบบนั้นไปได้ยังไง
“แล้วใครชนะ...”โบอาถาม เพราะภาพจำในสมองเริ่ม error เพราะฤทธิ์เมาค้างจากเหล้าโซจู
“แหม ก็ต้องเป็นพวกเรานะสิ กะเทยกระดูกอ่อนอย่างพวกแก๊งอินจองน่ะ เจอกะเทยทหารพรานอย่างยายแพรรี่คนเดียวก็จบแล้ว แต่ชั้นนี่สิยะ คนงามอย่างชั้นน่ะเป็นแนวนักรักนะไม่ใช่นักรบ...ก็เลยโดนใครก็ไม่รู้ต่อยเข้าเต็มเบ้าตาจนเขียวปั๊ดแบบเนี๊ย....ก็เพราะแกนี่แหละ...นังบัว!”
“ค่อยยังชั่วหน่อยที่แก๊งเราชนะ...ส่วนแก ขอบตาเขียวก็ดีแล้วนี่ จะได้ไม่ต้องเปลืองอายแชโดว์....ว่าแต่ แกตั้งนาฬิกาปลุกแต่เช้าทำไม....วันนี้วันหยุดไม่มีทัวร์ลงซะหน่อย”โบอาท้วงขึ้น ขยับตัวทำท่าจะลงนอนต่อ
“ว๊าย! ตายแล้ว แกลืมไปแล้วรึไงว่าวันนี้มีทัวร์พิเศษ... รายการทีวีจากเมืองไทยจะมาถึงเช้านี้!”
โบอาลุกพรวดขึ้น พุ่งตัวไปที่ห้องน้ำทันที กำลังจะปิดประตูแต่ถูกแต๊กรีบแหย่เท้ากั้นไว้ ก่อนโวยวาย
“ให้ชั้นเข้าด้วยสิ แกเข้าห้องน้ำนานมาก”
“ไม่ได้ ถึงแกจะเป็นกะเทย แต่ตรงนั้นก็ยังเป็นผู้ชายอยู่นะยะ”โบอาเถียง พยายามจะปิดประตู
“ทำยังกับไม่เคยเห็น...“แต๊กทำหน้าย่นใส่
“ก็เพราะเคยเห็นแล้วนะสิ ถึงไม่อยากเห็นอีก”
โบอาทำหน้ายู่คืนแล้วเตะใส่เท้าจนแต๊กต้องหดเท้ากลับมา โบอารีบปิดประตูห้องน้ำทันที ทิ้งให้น้องต๊อกแต๊กทุบประตู ยืนตดไปบิดตัวไป โวยวายไปอยู่นอกห้อง
“จำไว้เลยนังโบอา...นังเกาหลีนรก! “
----------------------จบตอน1-------------------------
ผลงานอื่นๆ ของ Athaporn Komkham ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Athaporn Komkham
ความคิดเห็น